RSS

สาระน่ารู้

ทำไหมพริกถึงเผ็ด


หลายๆคนคงสงว่าความเผ็ดร้อนเกิดจากกรดชนิดหนึ่งเรียกว่าแคปไซซิน ซึ่งอยู่ที่ผิวด้านในของฝักพริก หลายคนเข้าใจผิดว่าเม็ดพริกก็เผ็ดเหมือนกัน ทั้งที่ตามจริงไม่มีแคปไซซินเลย อย่างไรก็ตามกรดชนิดนี้กระจายอยู่ในยวงที่มีเม็ดพริกติดอยู่ เมื่อแกะเม็ดพริกออก เนื้อพริกในส่วนนี้ก็จะติดมาด้วยและทำให้เผ็ดน้อยลง แม้แคปไซซินจะให้รสเผ็ดถึงใจก็ตาม พริกแต่ละเม็ดมีกรดชนิดนี้อยู่เพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้นค่ะ
 จากการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์เกือบ 200 ปีมาแล้วพบว่า สารเคมีที่มีชื่อว่า “แคปไซซิน” (capsaicin) เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พริกเผ็ด บริเวณที่พบสารแคปไซซินภายในผลพริกนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาวหรือที่เรียกว่า “รกพริก” โดยส่วนของเนื้อผลพริก เปลือก และเมล็ดพริกจะมีสารแคปไซซินอยู่น้อยมาก ซึ่งต่างจากความเข้าใจของคนทั่วไปที่มักคิดว่า เมล็ดคือส่วนของพริกที่เผ็ดที่สุด ปริมาณของสารแคปไซซินจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามชนิดและสายพันธุ์ของพริก
 อันดับแรก เรามาวิเคราะห์กันก่อนดีกว่าว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าพริกมันคืออะไรกันแน่ บางคนมองว่า มันก็เป็นแค่เครื่องปรุงชนิดหนึ่ง ซึ่งออกจะเข้าข้างมนุษย์ไปสักหน่อย ถ้าหากไปถามพืช มันคงไม่ตอบว่า ฉันเกิดมาเพียงเพื่อให้คนกิน.. ในขณะเดียวกัน บางคนก็มองว่า พริกคือผลไม้ชนิดหนึ่ง ก็เหมือนกับส้ม แตงโม ฟักแม้ว และอื่นๆ มีเนื้อ มีเม็ด มีเปลือก คล้ายๆ กัน อันนั้นเป็นมุมมองที่ถูกต้อง แต่ก็ยังต้องถามต่อไปอีกว่า แล้วไอ้ที่เราเรียกกันว่า ‘ผลไม้’ นั่นน่ะ มันคืออะไรกันแน่ใช่ไหมละคะ
 จากมุมมองของพืช ผลไม้ ก็คือ เครื่องมือกระจายพันธุ์ของมัน พวกท่านคงเคยได้ยินคำกล่าว ‘ลูกนกบินออกจากรัง’ แน่นอน ลูกนกมันมีปีกบินออกจากรังเองได้ ไม่ต้องอยู่ให้เป็นภาระพ่อแม่ไปตลอด แต่ถ้าเป็นต้นไม้ ท่านจะไม่เคยได้ยิน ‘ลูกไม้บินออกจากรัง’ จะเคยได้ยินก็แต่ ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ หล่นตรงไหนก็แป้กอยู่ตรงนั้น พองอกโตขึ้นมา กลับกลายเป็นว่า ทั้งพ่อทั้งลูกต้องมาแย่งกันกินทรัพยากรแผ่นดินที่มีอยู่อย่างจำกัดในบริเวณนั้น เป็นสภาพที่แลดูน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติจึงผลักดันให้ต้นไม้จำนวนมาก มีการสร้างผลไม้ออกมา คือแทนที่จะมีแค่เมล็ดเปลือยๆ อย่างเดียวแบบหล่นตรงไหนงอกตรงนั้น ก็ให้มีการสร้างน้ำสร้างเนื้อ สร้างเปลือกที่มีสีสันล่อตาล่อใจมาห่อหุ้มเมล็ดไว้ด้วย ทั้งนี้และทั้งนั้น เพื่อจุดประสงค์อันแยบยลเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ ดึงดูด สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ อดอยากปากแห้ง ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้มาลองลิ้มชิมรส ผลไม้อันแสนอร่อยค่ะ
 สัตว์ส่วนใหญ่พอกินผลไม้เสร็จ ก็รู้สึกว่าเอ้อ พืชนี่มันดีเว้ย อยู่ดีๆ ก็ทำอาหารออกมาให้เรากิน ช่างมีความเสียสละจริงๆ สู้ต่อไปนะพืช.. แต่จริงๆ แล้วสัตว์หารู้ไม่เลยว่า กำลังตกเป็นเครื่องมือของพืชอยู่.. เนื้อผลไม้หวานฉ่ำที่สัตว์ได้กินเข้าไปนั้น แท้จริงแล้วแฝงแอบไว้ด้วยเจตนาแอบแฝง พืชไม่ได้ให้สัตว์กินฟรี แต่ให้กินเพราะหวังผลตอบแทนจากการขี้เรี่ยราดของสัตว์ ลองนึกภาพ นกตัวหนึ่งจิกกินผลส้ม เนื่องจากความเป็นนกไม่เรื่องมาก จึงกลืนเม็ดลงไปด้วย พออิ่มแล้วก็บินจากไป ระหว่างทางที่บินกลับรัง ก็ทิ้งบอมบ์เป็นระยะๆ เพียงเท่านี้ ลูกไม้ก็ไม่จำเป็นต้องหล่นใกล้ต้นอีกต่อไป เท่ากับพืชจ้างวานสัตว์ให้ทำหน้าที่ช่วยกระจายพันธุ์ให้ เนื้อผลไม้หวานๆ นั่น ก็เปรียบเสมือนค่าจ้าง ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ยิ่งอร่อยมากเท่าไหร่ เดี๋ยวทีหลัง สัตว์ก็ยิ่งติดใจ กลับมากินผลไม้ที่ต้นไม้ต้นเดิมอีก อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบในลักษณะนี้อาจไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะจริงๆ แล้วสัตว์ไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังทำงานให้พืชอยู่ มันก็สนใจแค่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แค่กินแค่ขี้ของมันไปตามเรื่อง ก็แค่นั้นเอง
โดยสรุป ผลไม้ สำหรับพืชก็เปรียบเสมือนการลงทุนแบบเก็งกำไร เริ่มจากหยิบยื่นในสิ่งที่สัตว์ต้องการ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างฐานกำลังสนับสนุนที่แข็งแรง ในที่สุดก็ได้มาซึ่งอำนาจที่ลำพังตนเองไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่กำเนิด จากนั้นก็อาศัยอำนาจที่ได้รับมานั้น เอื้อให้เกิดผลประโยชน์ต่อกิจการของตนเอง ชนิดที่เรียกว่า สุดท้ายเมื่อบวกลบกลบหนี้แล้ว ได้ผลกำไรตอบแทนกลับมามากกว่าที่ลงทุนไปเป็นหลายเท่าตัว
 พืชตระกูลพริก ผลิตสารเคมีชื่อว่า แค็พไซซิน(capsaicin) เป็นสารซึ่งมีฤทธิ์พิเศษในการไล่แมลง และฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างเราๆ ลิงๆ หมาๆ และแมวๆ ฯลฯ หากเอาแค็พไซซินเข้าปาก หรือแม้แต่ไปแตะไปถูตามผิวหนังส่วนต่างๆ เข้า ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึก เผ็ด ปวดแสบปวดร้อน จี๊ดจ๊าด อยู่นิ่งไม่ได้ 
.....................................................................................................................................................
ขอขอบคุณ http://www.marijameen.com


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Flollio






ชื่อ นางสาวน้ำทิพย์    ผกาพันธ์   ชื่อเล่น  อ๋อ  

เกิดวันที่  31 เดือนตุลาคม  พ.ศ. 2538  อายุ  18 ปี

วิชาที่ชอบ : เคมี  ชีววิทยา คณิตศาสตร์

สัตว์ที่ชอบ : ปลาทอง

สีที่ชอบ : ม่วง

กีฬาที่ชอบ : บาสเกตบอล

คติ : ไม่มีคำว่า ท้อ ในพจนานุกรม

Facebook: A'Aor Phakaphan

Twitter : @aoraor31

เว็บไซต์ที่ชอบ http://www.dek-d.com/
                    http://www.theactkk.net
                    http://instagram.com
                    http://www.youtube.com/user/crashcourse?feature=watch

ประวัติการศึกษา

จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนอนุบาลปทุมราชวงศา  อ.ปทุมราชวงศา อ. อำนาจเจริญ

จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนอำนาจเจริญ  อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ

ปัจจุบัน กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอำนาจเจริญ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ

ผลงาน

รางวัลชนะเลิศการประกวดภาพตัดปะ ปีการศึกษา 2544

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 การประกวดภาพวาดระดับประถมศึกษา  ปีการศึกษา 2549

รางวัลชนะเลิศการร้องเพลงประสานเสียง ปีการศึกษา 2552












  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ตารางธาตุ


ตารางธาตุประกอบด้วยธาตุ 8 หมู่


  1. ธาตุหมู่ I มีสมบัติเป็นโลหะซึ่งมีคุณสมบัติว่องไวในการผสมธาตุมาก ธาตุหมู่ I เรียกว่า alkalai metal และมีอิเล็กตรอนวงนอกสุดอยู่ 1 ตัว
  2. ธาตุหมู่ II เป็นธาตุโลหะ มีอิเล็กตรอนวงนอกสุด 2 ตัว ธาตุที่ว่องไวที่สุดในหมู่นี้ คือเรเดียม (Ra)
  3. ธาตุหมู่ III จะเริ่มประกอบด้วยโลหะและอโลหะ มีอิเล็กตรอนวงนอกสุด 3 ตัว
  4. ธาตุหมู่ IV มีอิเล็กตรอนวงนอกสุด 4 ตัว
  5. ธาตุหมู่ V ในตอนต้น ๆ จะเป็นอโลหะ ธาตุถัดมา เช่น สารหนู (As) และอันติโนมี (Sb) จะแสดงคุณสมบัติระหว่างโลหะและอโหะก้ำกึ่งกัน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่ามีสมบัติเป็น metalloid
  6. ธาตุหมู่ VI ตอนต้นหมู่จะมีธาตุที่มีสมบัติเป็นอโลหะ แล้วค่อย ๆ เป็นโลหะ
  7. ธาตุหมู่ VII มีชื่อเรียกว่า Halogen group ธาตุหมู่นี้เป็นอโลหะ ที่ว่องไวในการผสมธาตุมาก
  8. ธาตุหมู่ VIII จัดเป็นธาตุ Inert gas จึงไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับธาตุอื่น เพราะมีอิเล็กตรอนวงนอกสุดเท่ากับ 8
    • หมู่ธาตุทรานซิชั่น (Transition elements )ได้แก่
    • Lanthanide series ประกอบด้วยธาตุที่มี Atomic number 57 - 70 เป็นธาตุที่หายากมาก
    • Actinide series ประกอบด้วยธาตุที่มี Atomic number 89 - 102 ธาตุในหมู่นี้มีคุณสมบัติเป็นสารกัมมันตรังสี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

โครงสร้างอะตอม

จอห์น ดอลตัน เป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับอะตอม สรุปว่า
        1. สารประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก เรียกว่า อะตอม แบ่งแยกไม่ได้ และสร้างขึ้นหรือทำลายให้สูญหายไปไม่ได้
       2. อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน จะมีมวลเท่ากัน มีสมบัติเหมือนกัน แต่จะแตกต่างจากอะตอมของธาตุอื่น ๆ
       3. อะตอมของธาตุสองชนิดอาจรวมตัวกันด้วยอัตราส่วนต่าง ๆ กัน เกิดเป็นสารประกอบได้หลายชนิด

ทอมสัน ทำการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของก๊าซในหลอดรังสีแคโทด พบว่าไม่ว่าจะใช้ก๊าซใดบรรจุในหลอด
หรือใช้โลหะใดเป็นแคโทด จะได้รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ พุ่งมาที่ฉากเรืองแสงเหมือนเดิม เมื่อคำนวณหาอัตราส่วนของประจุต่อมวล (e/m)
ของอนุภาค จะได้ค่าคงที่ทุกครั้งเท่ากับ 1.76 x 108 คูลอมบ์ต่อกรัม สรุปว่า อะตอมทุกชนิดมีอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า อิเล็กตรอน
โกลดชไตน์ ดัดแปลงหลอดรังสีแคโทด เมื่อเปลี่ยนชนิดของก๊าซ พบว่า อนุภาคที่มีประจะบวกมีอัตราส่วนของประจุ
ต่อมวลไม่คงที่ ถ้าใช้ก๊าซไฮโดรเจน จะได้อนุภาคบวกมีประจุเท่ากับประจุของอิเล็กตรอนจึงเรียกอนุภาคบวกว่า โปรตอน
มิลลิแกน ทำการทดลองหาค่าประจุของอิเล็กตรอน เท่ากับ 1.60 x 10-19 คูลอมบ์ และเมื่อนำไปคำนวณหามวล ของอิเล็กตรอน จะได้เท่ากับ 9.11 x 10-28 กรัม

รัทเทอร์ฟอร์ด, ไกเกอร์ และมาร์สเดน ยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบาง ๆ พบว่า อนุภาคส่วนใหญ่จะวิ่งเป็น
เส้นตรงผ่านแผ่นทองคำ นาน ๆ ครั้งจะเบนไปจากแนวเส้นตรง และน้อยครั้งมากที่อนุภาคจะสะท้อนกลับมากระทบ
ฉากบริเวณหน้าแผ่นทองคำ

เลขอะตอม คือ ตัวเลขที่แสดงจำนวนโปรตอน

 เลขมวล คือ ผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอน

ไอโซโทป คือ อะตอมต่าง ๆ ของธาตุเดียวกันที่มีเลขมวลต่าง ๆ เช่น 11H, 21H และ 31H

สัญลักษณ์นิวเคลียร์ วิธีเขียน เลขอะตอมไว้มุมล่างซ้าย และเลขมวลไว้มุมบนซ้ายของสัญลักษณ์ เช่น 23 11 Na
การจัดอิเล็กตรอนในอะตอม
วิธีการใช้ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส คือ การศึกษาสเปกตรัมของสารหรือธาตุแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แสงที่มองเห็นได้มีความยาวคลื่น 400 - 700 นาโนเมตร แสงสีต่าง ๆ ในแถบสเปกตรัมของแสงได้แก่ ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง
แสงสีม่วง มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด แต่มีความถี่สูงที่สุด และมีพลังงานสูงสุด
แสงสีแดง มีความยาวคลื่นมากที่สุด แต่มีความถี่ต่ำที่สุด และมีพลังงานต่ำสุด
        มักซ์ พลังค์ สรุปว่า พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความถี่ของคลื่นนั้น
E = พลังงาน จูล (J)
h = ค่าคงที่ของพลังค์ มีค่า 6.625 x 10-34 จูลวินาที (Js)
= ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Hz)
C = ความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสูญญากาศ = 3.0 x 108 m/s
= ความยาวคลื่น (m) (1 นาโนเมตร เท่ากับ 10-9 เมตร)
สเปกโตสโคป เป็นเครื่องมือสำหรับแยกสเปกตรัมของแสงขาว และตรวจเส้นสเปกตรัมของธาตุที่ถูกเผา การทดลองใช้ลวดนิโครมจุ่มลงในกรดไฮโดรลอริกเข้มข้น (HCI) แตะสารประกอบที่ต้องการทดสอบ นำไปเผาบนเปลวไฟ สังเกตสีของเปลวไฟ และใช้สเปกโตสโคปสังเกตสีของเส้นสเปกตรัม
           1. สีของเปลวไฟ หรือเส้นสเปกตรัม เกิดจากส่วนที่เป็นโลหะ (ion +) ในสารประกอบชนิดนั้น ๆ
           2. ธาตุแต่ละชนิด มีเส้นสเปกตรัมเป็นลักษณะเฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน ลักษณะของเส้นสเปกตรัมจึงเป็นสมบัติเฉพาะตัว
ประการหนึ่งของธาตุ เส้นสีเขียวที่เห็นจากแสงไฟฟลูออเรสเซนต์ เกิดจาก ไอปรอท 11. 

การศึกษาเรื่องสเปกตรัมของสารหรือของธาตุ สรุปได้ว่า
         1. เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงาน จึงขึ้นไปอยู่ในระดับพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้อะตอมไม่เสถียร อิเล็กตรอนจึงคาย พลังงานเท่ากับพลังงานที่ได้รับเข้าไป พลังงานส่วนใหญ่ที่คายออกอยู่ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปรากฎเป็นเส้น สเปกตรัม
        2. การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอน อาจมีการเปลี่ยนข้ามขั้นได้
        3. อิเล็กตรอนในระดับพลังงานต่ำจะอยู่ใกล้นิวเคลียส
        4. ระดับพลังงานต่ำอยู่ห่างกันมากกว่าระดับพลังงานสูง ระดับพลังงานยิ่งสูงขึ้นจะยิ่งอยู่ชิดกันมากขึ้น
นีลส์ โบร์ สร้างแบบจำลองว่า อิเล็กตรอนในอะตอมวิ่งอยู่รอบนิวเคลียสเป็นชั้น ๆ หรือเป็นระดับพลังงานมีค่า
พลังงานเฉพาะคล้าย ๆ กับวงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ซึ่งแบบจำลองนี้ใช้ได้ดีกับอะตอมขนาดเล็กที่มี
อิเล็กตรอนเดียว เช่น ไฮโดรเจนเท่านั้น

พลังงานไอออไนเซชัน (IE) คือ พลังงานปริมาณน้อยที่สุดที่ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากอะตอมในสถานะก๊าซ
                                  Mg(g) + IE1 Mg+(g) + e-

                                  Mg+(g) + IE2 Mg2(g) + e-

พลังงานไอออไนเซชันลำดับที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นของธาตุใดก็ตาม ล้วนมีค่าต่ำสุดเมื่อเทียบกับพลังงานไอออไนเซชัน ลำดับอื่น ๆ ของธาตุเดียวกัน เพราะอิเล็กตรอนที่หลุดออกไปตัวแรกได้รับแรงดึงดูดจากนิวเคลียสน้อยที่สุด
ค่าพลังงานไอออไนเซชันใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มอิเล็กตรอนได้
 จำนวนอิเล็กตรอนที่มีได้มากที่สุดในแต่ละระดับพลังงาน = 2n2
อิเล็กตรอนในระดับพลังงานสูงที่สุดของแต่ละธาตุ เรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน
3919K มีการจัดอิเล็กตรอน เป็น 2, 8, 8, 1 (หมู่ 1 A คาบ 4)

แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก สรุปได้ว่า
       1. การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนไม่มีทิศทางแน่นอน บอกได้เพียงโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอน ณ ตำแหน่งต่าง ๆ เท่านั้น
       2. โอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนในแต่ละระดับพลังงานไม่เหมือนกัน ขึ้นกับจำนวนอิเล็กตรอนและระดับพลังงานของ อิเล็กตรอนนั้น
       3. อิเล็กตรอนที่มีพลังงานต่ำอยู่ในบริเวณใกล้นิวเคลียสมากกว่าอิเล็กตรอนที่มีพลังงานสูง


CR http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/page1_chemistry.htm#topic3

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS